วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Windows 8

  Windows 8 

หลังจากที่ไมโครซอฟท์เปิดตัว Windows 8 Consumer Preview รุ่นพรีวิว ซึ่งเป็นรุ่นทดลองใช้สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ก่อนหน้านี้ไมโครซอฟท์ได้กลับมาสร้างความตื่นเต้นให้กับแฟน ๆ อีกครั้งหลังจากที่ปล่อย Windows 8  Developer Preview ออกมาเมื่อเดือนกันยายนปี 2011 หลังจากนั้นก็มีข่าวเกี่ยวกับการพัฒนาระบบปฏิบัติการ Windows 8 อย่างต่อเนื่อง ไมโครซอฟท์เตรียมเปลี่ยนโฉมระบบปฏิบัติการที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยจะเน้นการทำงานที่ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์มด้วยเทคโนโลยีที่ไมโครซอฟท์ใส่มา แบบเต็มพิกัด และล่าสุดเว็บไซต์ข่าว บลูมเบิร์ก นิวส์ เปิดเผยข้อมูลว่า ไมโครซอฟต์ มีแผนที่จะเปิดตัวระบบปฏิบัติการตัวล่าสุด Windows 8 ในเดือนตุลาคมนี้ เพื่อให้เหล่าบริษัทซอฟต์แวร์ทั้งหลาย มีเวลาเตรียมตัวในการกำหนดเป้าหมายกลุ่มผู้ซื้อในช่วงเทศกาลวันหยุดยาว

    รายงานข่าว ซึ่งอ้างข้อมูลจากการเปิดเผยของคนที่ทราบกำหนดการปล่อยตัว Windows 8 ระบุว่า ระบบปฏิบัติการ Windows 8 จะเปลี่ยนรูปโฉมและฉีกระบบปฏิบัติการวินโดว์แบบเดิมๆที่มีอยู่ด้วคุณสมบัติและรูปลักษณ์ใหม่ โดยอาศัยพื้นฐานการพัฒนาจาก Windows 7แต่เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสริมด้านความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้และความเสถียรภาพของระบบมากขึ้นWindows 8 จะใช้หน่วยความจำน้อยลง ทำให้สามารถทำงานได้ในเครื่องพีซีที่มีสเปคต่ำหรือแม้แต่เน็ตบุ๊คที่ใช้ซีพี ยู Atom รุ่นแรกๆกับหน่วยความจำเพียง1 GBก็สามารถติดตั้งและใช้งาน Windows 8ได้รวมถึงแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่ใช้งานอยู่บน Windows 7 ก็สามารถนำมาใช้งานบน Windows 8 ได้เช่นกัน


          สิ่ง ที่ให้ Windows 8 แตกต่างอย่างชัดเจนกับวินโดว์สรุ่นก่อนหน้านี้คือ การออกแบบมาเพื่อให้ทำงานครอบคลุมทุกแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นบนแท็บเล็ต, แล็ปท็อปส์ และเดสก์ท็อปที่สำคัญคือ Windows 8 ได้ถูกออกแบบมาสำหรับจอทัชสกรีน และจะเป็นครั้งแรกที่ระบบปฏิบัติการวินโดว์จะทำงานด้วยระบบประมวลผล ARM ซึ่งไมโครซอฟท์คาดหวังไว้ว่าในอนาคตจะช่วยกระตุ้นยอดขายแท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ ซึ่งปัจจุบันยังเป็นรองแอปเปิลอยู่ นอกจากนี้ Windows 8 บนสมาร์ทโพนและแท็บเล็ตยังทำงานด้วยระบบประมวลผล ARM แบบเดียวกับสมาร์ทโฟนทั่วโลก เนื่องจากชิปของ ARM มีประสิทธิภาพในด้านการประหยัดพลังงานมากกว่า จึงเหมาะกับอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น มือถือ, แท็บเล็ต, เครื่องเล่น MP3 และ จุดนี้เองที่ทำให้ Microsoft หันมาสนใจใช้ชิป ARM ให้สามารถใช้งานกับ Windows 8 ได้  แต่ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลเปิดเผยว่า ใครจะเป็นผู้ผลิตแท็บเล็ตที่ใช้ชิป ARM ให้กับ Microsoft แต่ดูเหมือนว่า มีหลายบริษัทชั้นนำที่เป็นตัวเก็ง เช่น ซัมซุง เอซุส และโนเกีย เป็นต้น

          แน่นอนการมาของ Windows 8  นั้นแสดงให้เห็นว่าไมโครซอฟต์สนับสนุนการพัฒนาระบบปฏิบัติการเพื่อใช้งานบน แท็บเล็ตแบบจริงจัง และคงต้องยอมรับว่าอนาคตของ คอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปจะมีบทบาทน้อยลง อย่างไรก็ตามไมโครซอฟต์ จำเป็นต้องต่อสู้เพื่อรักษาฐานลูกค้าไว้ให้ได้ ถึงแม้จะเริ่มหมดยุคพีซีครองโลกแล้วก็ตาม

3G คืออะไร

 3G คืออะไร
     3G หมายถึงรุ่นที่ 3 ของเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ (เซลลูลาร์) รุ่นที่ 3 นี้ ตามชื่อที่เรียกตามหลังสองรุ่นก่อนหน้านี้
เทคโนโลยี 1 จี เริ่มต้นในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ประมาณปี พ.ศ.2523 ด้วยเครือข่ายโทรศัพท์เซลลูลาร์แอมป์ (AMPS ย่อจาก Advanced Mobile Phone) ที่รองรับเสียงแบบอะนาล๊อกบนแถบความถี่ 800 เมกกะเฮิร์ซ เหมือนกับการกระจายเสียงวิทยุทั่วไป

เทคโนโลยี 2 จี เกิดขึ้นในทศวรรษ 1990 ประมาณปี พ.ศ.2533 ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือใช้เทคโนโลยีรองรับเสียงในระบบดิจิตอล ซึ่งมีสองเทคโนโลยี 1) เทคโนโลยี ซีดีเอ็มเอ (CDMA ย่อจาก Code Division Multiple Access) ที่สามารถเรียกได้มากถึง 64 สายต่อช่องบนแถบความถี่ 800 เมกกะเฮิร์ซ มีการใช้ในสหรัฐและแบบที่ฮัท์ชใช้อยู่ในประเทศไทย 2) เทคโนโลยีจีเอสเอ็ม (GSM ย่อจาก Global System for Mobile) ซึ่งสามารถเรียกได้ 8 สายต่อช่องสัญญาณ บนแถบความถี่ 800 ถึง 1800 เมกกะเฮิร์ซ

The International Telecommunications Union (ITU) กำหนด มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่3จี คือ IMT-2000 เพื่ออำนวยการเติบโต เพิ่มแถบความกว้างความถี่ และสนับสนุนโปรแกรมประยุกต์หลากหลาย ตัวอย่าง GSM สามารถไม่เพียงเสียง แต่รวมถึงข้อมูลสวิตช์วงจรที่อัตราความเร็วสูงถึง 14.4 Kbps แต่สนับสนุนการประยกต์มัลติมีเดีย 3จีต้องส่งมอบข้อมูลสวิตช์แพคเกตด้วยประสิทธิภาพดี ที่ความเร็วสูงกว่า

อย่างไรก็ตาม ในช่วงยกระดับจาก 2 จี เป็น 3 จี ผู้ให้บริการโทรศัพท์ได้ปฏิรูปเครือข่าย พร้อมกับแผน “ปฏิวัติ” เครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ใหม่ ซึ่งได้นำไปสู่ก่อตั้ง 3GPP (3rd Generation Partnership Project) และ 3GPP2 (3rd Generation Partnership Project 2)

3rd Generation Partnership Project (3GPP) ก่อตั้งในปี 1998 เพื่อพัฒนาเครือข่าย 3 จี จาก GSM เทคโนโลยีที่พัฒนาคือ

      - General Packet Radio Service (GPRS) เสนอความเร็วสูงถึง 114 กิโลบิตต่อวินาที
      - Enhanced Data Rates for Global Evolution (EDGE) เสนอความเร็วสูงถึง 384 กิโลบิตต่อวินาที
      - UMTS Wideband CDMA (WCDMA) เสนอความเร็วรับข้อมูลสูงถึง 1.92 เมกกะบิตต่อวินาที
      - High Speed Downlink Packet Access (HSDPA) เพิ่มความเร็วรับข้อมูลสูงถึง 14 เมกกะบิตต่อวินาที
      - LTE Evolved UMTS Terrestrial Radio Access (E-UTRA) มีเป้าหมายที่ 100 เมกกะบิตต่อวินาที

  GPRS มีให้ในปี 2543 ตามด้วย EDGE ในปี 2546 เทคโนโลยีนี้บางครั้งเรียกว่า 2.5 จี เพราะไม่ได้เสนออัตราข้อมูลหลายเมกะบิต (multi-megabit) EDGE ได้รับการแทนที่โดย HSDPA (และหุ้นส่วนอัพลิงค์ HSUPA) ตามรายงานของ 3GPP กล่าวว่า HSDPA มี 166 เครือข่ายใน 75 ประเทศเมื่อสิ้นปี 2550 LTE E-UTRA ซึ่งเป็นขั้นไปของ GSM จะสามารถนำมาใช้ได้ในปี 2551
องค์กรที่สอง 3rd Generation Partnership Project 2 (3GPP2) ได้รับการก่อตั้งเพื่อช่วยผู้ให้บริการโทรศัพท์อเมริกาเหนือและเอเซียในการ ปรับแปลง CDMA2000 ไปสู่ 3 จี เทคโนโลยีที่ 3GPP2 พัฒนาคือ

      - One Times Radio Transmission Technology (1xRTT) เสนอความเร็วสูงถึง 144 กิโลบิตต่อวินาที
      - Evolution – Data Optimized (EV-DO) เพิ่มความเร็วรับข้อมูลสูงถึง 2.4 เมกกะบิตต่อวินาที
      - EV-DO Rev. A เพิ่มความเร็วรับข้อมูลสูงถึง 3.1 เมกกะบิตต่อวินาที และลดซ่อนเร้นอยู่ภายใน
      - EV-DO Rev. B สามารถใช้ 2 ถึง 5 ช่อง แต่ละการรับข้อมูลสูงถึง 4.9 เมกกะบิตต่อวินาที
      - Ultra Mobile Broadband (UMB) ตั้งเป้าหมายให้ถึง 288 เมกกะบิตต่อวินาทีในการรับข้อมูล

1xRTT มีให้ในปี 2545 ตามด้วย EV-DO Rev. 0 เชิงพาณิชย์ในปี 2547 อีกครั้ง 1xRTT ได้รับการอ้างเป็น “2.5จี” เพราะสิ่งนี้รองรับขั้นการปรับแปลงไปสู่ EV-DO มาตรฐาน EV-DO ได้รับการขยายสองเท่า ซึ่ง Revision A ออกมาใช้ในปี 2549 และกำลังถูกแทนที่โดยผลิตภัณฑ์ที่ใช้ Revision B ที่เพิ่มอัตราข้อมูลโยการส่งผ่านหลายช่อง UMB ที่เป็นเทคโนโลยีต่อไปของ 3GPP2 อาจจะไม่แพร่หลาย เพราะโอเปอร์เรเตอร์ CDMA กำลังวางแผนปฏิรูป LTE แทน

ตามความจริง LTE และ UMB มักจะได้รับการเรียกว่า เทคโนโลยี 4จี (fourth generation) เพราะเพิ่มความเร็วดาวน์ลิงค์ตามลำดับของขนาด ป้ายนี้คือ มาก่อนกำหนดเล็กน้อยเพราะ การสร้าง “4จี” ยังไม่เป็นมาตรฐาน ITU กำลังพิจารณาคู่แข่ง สำหรับการสรุปในมาตรฐาน 4G IMT-Advanced รวมถึง LTE, UMB และ WiMAX II เป้าหมายของ 4จี รวมถึง อัตราข้อมูลอย่างน้อย 100 Mbps การส่งผ่าน OFDMA การส่งมอบแพคเกตสวิตช์ของเสียง ข้อมูล และมัลติมีเดียต่อเนื่องบนฐาน IP

ดวงอาทิตย์

  ดวงอาทิตย์

  ดวงอาทิตย์เป็นส่วนสำคัญที่สุดของระบบสุริยะ  เป็นผู้ดึงดูดให้ดาวเคราะห์ทั้งเก้าดวงอยู่ในตำแหน่งที่เป็นอยู่และดวง อาทิตย์ยังให้แสงและความร้อนกับดาวเคราะห์นั้นด้วย  ถ้าไม่มีดวงอาทิตย์ระบบสุริยะก็จะมืดมิดและหนาวเย็น  เมื่อผ่าดวงอาทิตย์ออกมาเป็นชิ้นภายในดวงอาทิตย์นั้นไม่ได้แข็งเหมือนโลก  ดวงอาทิตย์เป็นกลุ่มก๊าซดวงใหญ่ที่ลุกเป็นเปลวไฟ  ดวงอาทิตย์ประกอบด้วยก๊าซไฮโดรเจนและฮีเลียม  ดวงอาทิตย์ไม่ได้เผาไหม้ด้วยการเปลี่ยนก๊าซไฮโดรเจนเป็นก๊าซฮีเลียม  ดวงอาทิตย์เป็นสิ่งที่ร้อนที่สุดในรบบสุริยะที่ใจกลาง  ดวงอาทิตย์จะร้อนถึง15 ล้านองศาเซลเซียส  ความร้อนขนาดนี้เพียงก้อนโตเท่าหัวเข็มหมุดก็จะทำให้คนที่ยืนอยู่ห่าง 150 กิโลเมตรตายได้
             ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ศูนย์กลางของระบบสุริยะ เนื้อสารส่วนใหญ่ของระบบสุริยะอยู่ที่ดวงอาทิตย์ คือ มีมากถึง 99.87% เป็นมวลสารดาวเคราะห์รวมกันอย่างน้อยกว่า 0.13% ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับดาวฤกษ์อื่น ๆ บนฟ้า แต่เป็นดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้โลกที่สุด จึงปรากฏเป็นวงกลมโต บนฟ้าของโลกเพียงดวงเดียว ดาวฤกษ์อื่นปรากฎเป็นจุดสว่าง เพราะอยู่ไกลมาก ขนาดที่แท้จริงโตกว่าโลกมาก มีเส้นผ่านศูนย์กลางเกือบ 109 เท่าของโลก
              ดวงอาทิตย์สร้างพลังงานขึ้นมาเองโดยการเปลี่ยนเนื้อสารเป็นพลังงานตามสมการของไอน์สไตน์ E = mc2 (E คือพลังงาน, m คือ เนื้อสาร, และ c คือ อัตราเร็วของแสงสว่างในอวกาศซึ่งมีค่าประมาณ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที) บริเวณที่เนื้อสารกลายเป็นพลังงาน คือ แกนกลางซึ่งมีอุณหภูมิสูงถึง 15 ล้านองศาเซลเซียส ณ แกนกลางของดวงอาทิตย์มีระเบิดไฮโดรเจนจำนวนมาก กำลังระเบิดเป็นปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ ที่ไฮโดรเจนหลอมรวมกันกลายเป็นฮีเลียม ในแต่ละวินาทีไฮโดรเจนจำนวน 4 ล้านตันกลายเป็นพลังงาน ใน 1 ปีดวงอาทิตย์เมื่อเทียบกับมวลสารของดวงอาทิตย์ทั้งหมด 2 x 1027 ตัน หรือ 2,000 ล้านล้านล้านตัน หรือ 332,946 เท่าของโลก
               ที่ผิวของดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิประมาณ 5,700 องศาเซลเซียส หรือประมาณ 6,000 เคลวิน ดวงอาทิตย์จึงถูกจัดเป็นดาวฤกษ์สีเหลือง มีอายุประมาณ 5,000 ล้านปี เป็นดาวฤกษ์หลัก อยู่ในช่วงกลางของชีวิต ในอีก 5,000 ล้านปี ดวงอาทตย์จะจบ ชีวิตลงด้วยการขยายตัวแต่จะไม่ระเบิด เพราะแรงโน้มถ่วงมีมากกว่าแรงดัน ในที่สุด ดวงอาทิตย์จะยุบตัวลงอย่างสงบกลายเป็นดาวขนาดเล็ก เรียกว่า ดาวแคระขาว

เทคนิคการเรียนให้เก่ง

เทคนิคการเรียนให้เก่ง

พูดถึงเรื่องเรียน ใครๆก็อยากเก่งกันทุกคน แต่คงมีหลายคน ที่อาจจะท้อแท้กับการเรียน นักวิชาการและนักวิจัยต่างๆ ได้ทำการสำรวจและวิจัย พบว่าเทคนิคการเรียนต่างๆจากหลายๆคนแตกต่างกันไป ก็เลยนำมาเสนอให้เพื่อนๆที่สนใจได้อ่านด้วย เราไปดูกันดีกว่าว่า การเรียน เก่ง
จาก การวิจัยและวิเคราะห์ของนักแนะแนวการศึกษาและนักจิตวิทยาหลายคนพบว่า ผู้ที่เรียนไม่ค่อยประสบความสำเร็จหรือเรียนแบบไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ ได้แก่ผู้ที่มีลักษณะดังนี้
-เป็นคนที่มักละทิ้งงานไว้ก่อนก่อนจึงค่อยทำ เมื่อถึงนาทีสุดท้าย
-เสียสมาธิ หันเห ความสนใจไปจากการเรียนได้โดยง่าย
-เมื่อทำงานที่ยากๆ จะสูญเสียความสนใจ หรือขาดความมานะ พยายามนั่นเอง
-มักใช้เรื่องของการสอบ เป็นเครื่องกระตุ้นการเรียน
-ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีตารางการทำงานอย่าวงสม่ำเสมอ
-การเรียนที่มีประสิทธิภาพควรมีลักษณะดังนี้คือ
-ควรมีตารางเรียนและทำงานตรงตามเวลาที่กำหนดอย่างสม่ำเสมอ
-ทำงานในระยะเวลาที่ไม่นานนักและควรมีการหยุดพักผ่อน
-ไม่ปล่อยงานค้างไว้จนวินาทีสุดท้าย
-ควรตั้งสมาธิให้แน่วแน่ ไม่เสียสมาธิง่าย
-อย่าใช้การสอบเป็นนแรงจูงใจในการอ่านหนังสือ
-ควรอ่านหนังสือก่อนเข้าห้องเรียนตามสมควร
-เข้าฟังการบรรยาย สัมมนาแล้วควรกลับไปอ่านทบทวน
-พยายามอย่าละเลยวิชาที่ยากกว่าวิชาอื่นๆ
-ควรมีความรู้ในการใช้บริการห้องสมุดด้วยเป็นดี
-ปรับปรุงคำบรรยาย ที่จดจากห้องเรียนให้กระชับ กะทัดรัดและเข้าใจง่าย
-พยายามทำให้การเรียนเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และสนุกสนานกับมัน
-ควรมีแรงกระตุ้นกับมันและไม่ควรทำงานหนักเกินไปในวันหยุด
-เมื่อพยายามปฏิบัติทุกข้ออย่างสม่ำเสมอก็จะทำให้เรียนได้ดี
-จากการวิจัยเรื่องลักษณะการอ่านหนังสือหลายๆคนมักจะทำกันอย่างนี้
-อ่านหนังสือเที่ยวนึงก่อน แล้วกลับมาอ่านซ้ำอีกที
-ขีดเส้นใต้ใจความหลักและรายละเอียดที่สำคัญในตำรา
-อ่านอย่างตั้งใจแล้วทำบันทึกเค้าโครงสั้นๆไว้ เพื่อประหยัดเวลาในการอ่านทบทวน
ซึ่ง นักวิเคราะห์สรุปว่า วิธีที่3ค่อนข้างจะดีกว่าข้ออื่นๆแต่การทำพร้อมๆกันทั้ง 3 วิธี เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการอ่านหนังสือเลยทีเดียว

Thorndike กล่าวว่า ประสบการณ์ก่อให้เกิดความชำนาญ เขาใด้ตั้งกฎแห่งการเรียนไว้ 3 อย่างซึ่งพูดถึงการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น การตอบรับ การฝึกหัดเพื่อก่อให้ เกิดประสบการณ์ และการเตรียมความพร้อมในด้านการเรียน และเขายังมี ข้อแนะนำที่จะช่วยให้การเรียนได้ผลดีและรวดเร็ว คือ
-พยายามสร้างความอยากที่จะเรียน (motivation)
-พยายามตอบสนองต่อการเรียน (reaction) อย่างต่อเนื่อง
-ควรมีความแน่วแน่กับการเรียน (concentrate)
-จัดลำดับเรี่องที่จะเรียน (organization) ให้เป็นหมวดหมู่ก่อนหลัง ไม่ปะปนกัน
-ควรมีความเข้าใจ (comprehension) ในจุดมุ่งหมายในเนื้อหาที่เรียน
-มีการทบทวน (repettition) เพื่อเป็นการไม่ให้ลืม
-เทคนิคการอ่านหนังสือ โดย อ.พรทิพย์ ศรีสุรักษ์
-สำรวจเนื้อหาและส่วนประกอบต่างๆในเล่มทั้งหมด
-อ่านเนื้อหาทั้งหมด แล้วอ่านซ้ำเพื่อจับ
-ควรมีการตั้งคำถามกับตัวเองขณะอ่าน ว่าใคร ทำอะไร ที่ใหน เมื่อไหร่ อย่างไร
-ขีดเส้นใต้ข้อความสำคัญจากนั้นบันทึกเป็นคำพูดที่เข้าใจง่าย
-พยายามจับประเด็นจากคำบรรยายและจากตำราให้เข้ากัน
-ต้องมีการทบทวนอย่างสม่ำเสมอ

หลัก SQ3R เพื่อช่วยให้การอ่านตำราประสบความสำเร็จมีดังนี้
S:servey คือ การสำรวจตำราเรียนอย่างคร่าวๆ
Q:question คือ การตั้งคำถามทั่วๆไปเพื่อที่จะเข้าสู่เนื้อหา
R:read แล้วก็ต้องอ่านเพื่อจับประเด็นความคิดออกมา
R: recall แล้วต้องพยายามที่จะจดจำในเนื้อหาที่สำคัญๆไว้ด้วย และ R สุดท้าย
R:reviewหมั่นทบทวนอยู่เสมอเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและการนำไปใช้
นอกจากนี้ อ.ธีรพร ชัยวัชราภรณ์ ยังให้เทคนิคการจำที่น่าสนใจ ให้นำไปใช้อีกด้วย
-อย่าจดจำในสิ่งที่ตัวเองยังไม่เข้าใจ
-ทบทวนบันทึกหลังการเรียนมาภายใน12ชม.
-ต้องทำความเข้าใจในเนื้อหาทุกๆตอนก่อนที่จะผ่านไปและต้องทบทวนอย่างสม่ำเมอ
-พยายามเรียนให้มากๆและอย่าเพิ่งหยุดในขณะที่เพิ่งเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
-เลือกจำเฉพาะจุดที่สำคัญและรวบรวมเนื่อหาเหล่านั้นเข้าด้วยกันและมีระบบขั้นตอน
-ทำการซ้ำหลายๆหน เช่นท่องปากเปล่าหรือเขียนเพื่อที่จะช่วยให้จดจำได้มากขึ้น และ
-การท่องเป็นจังหวะจะช่วยให้ท่องจำได้ง่ายขึ้น

วิธีเรียนให้เก่ง
   ฝึกสังเกต สังเกตในสิ่งที่เราเห็น หรือสิ่งแวดล้อม เช่น ไปดูนก ดูผีเสื้อ หรือในการทำงาน การฝึกสังเกตจะทำให้เกิดปัญญามาก โลกทรรศน์ และวิธีคิด สติ-สมาธิ จะเข้าไปมีผลต่อการสังเกต และสิ่งที่สังเกต
   ฝึกบันทึก เมื่อสังเกตอะไรแล้วควรฝึกบันทึก โดยจะวาดรูปหรือ บันทึกข้อความ ถ่ายภาพ ถ่ายวีดิโอ ละเอียดมากน้อยตามวัยและ ตามสถานการณ์การบันทึกเป็นการพัฒนาปัญญา
   ฝึกการนำเสนอต่อที่ประชุม กลุ่ม เมื่อ มีการทำงานกลุ่ม เรา ไปเรียนรู้อะไรมาบันทึกอะไรมา จะนำเสนอให้เพื่อนหรือครูรู้เรื่อง ได้อย่างไร ก็ต้องฝึกการนำเสนอการนำเสนอได้ดีจึงเป็นการพัฒนา ปัญญาทั้งของผู้นำเสนอและของกลุ่ม
   ฝึกการฟัง ถ้ารู้จักฟังคนอื่นก็จะทำให้ฉลาดขึ้น โบราณเรียกว่า เป็นพหูสูตบางคนไม่ได้ยินคนอื่นพูด เพราะหมกมุ่นอยู่ในความคิด ของตัวเองหรือมีความฝังใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนเรื่องอื่นเข้าไม่ได้ ฉันทะ สติ สมาธิ จะช่วยให้ฟังได้ดีขึ้น
   ฝึกปุจฉา-วิสัชนา เมื่อมีการนำเสนอและการฟังแล้ว ฝึกปุจฉา-วิสัชนา หรือถาม-ตอบ ซึ่งเป็นการฝึกใช้เหตุผล วิเคราะห์ สังเคราะห์ ทำ ให้เกิดความแจ่มแจ้งในเรื่องนั้นๆ ถ้าเราฟังครูโดยไม่ถาม-ตอบ ก็ จะไม่แจ่มแจ้ง
   ฝึกตั้งสมมติฐานและตั้งคำถาม เวลาเรียนรู้อะไรไปแล้ว เรา ต้องสามารถตั้งคำถามได้ว่า สิ่งนี้คืออะไร สิ่งนั้นเกิดจากอะไร อะไรมีประโยชน์ ทำอย่างไรจะสำเร็จประโยชน์อันนั้น และมีการ ฝึกการตั้งคำถาม ถ้ากลุ่มช่วยกันคิดคำถามที่มีคุณค่าและมีความ สำคัญ ก็จะอยากได้คำตอบ
   ฝึกการค้นหาคำตอบ เมื่อมีคำถามแล้วก็ควรไปค้นหาคำตอบ จากหนังสือ จากตำรา จากอินเตอร์เน็ต หรือไปคุยกับคนเฒ่าคน แก่ แล้วแต่ธรรมชาติของคำถาม การค้นหาคำตอบต่อคำถามที่ สำคัญจะสนุกและทำให้ได้ความรู้มาก ต่างจากการท่องหนังสือ โดยไม่มีคำถาม บางคำถามเมื่อค้นหาคำตอบทุกวิถีทางจนหมด แล้วก็ไม่พบ แต่ถามยังอยู่ และมีความสำคัญ ต้องหาคำตอบต่อ ไปด้วยการ
Posted by latachai vilipanlatana

ท่าว่ายน้ำ


ท่าว่ายน้ำ

1. FREESTYLE ฟรีสไตล์
          คำว่า "ฟรีสไตล์" เป็นคำที่เรียกกันติดปาก เพราะถ้าจะเรียกให้ถูกต้อง ท่านี้มีชื่อว่า "crawl stroke" (อ่านว่า ครอล สโตรค)           ที่เรียกกันว่า ฟรีสไตล์ก็เพราะคุณสามารถว่ายท่าอะไรก็ได้ที่คิดว่าเร็วที่สุดเพื่อให้ถึงขอบสระก่อนคนอื่น โดยท่าที่นิยมใช้ คือ crawl stroke ทำไมท่านี้จึงมีความเร็วสูงที่สุดน่ะหรือ เป็นเพราะท่านี้เป็นท่าที่ร่างกายมีความเพรียวลู่น้ำมากกว่า ท่าอื่น ๆ รวมทั้ง การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งท่านก็สามารถจะว่ายได้อย่างง่ายดาย และในกระบวนการสอนว่ายน้ำ ก็จะสอนท่านี้เป็นท่าแรก
          1. การว่ายน้ำทุกท่ายกเว้นท่ากบ จะต้องใช้แขนและมือเป็นตัวขับ เคลื่อนถึง 70 % หรือมากกว่า ดังนั้นแขนจึงเปรียบเสมือนไม้พาย ที่จะช่วยให้ร่างกายไปข้างหน้าได้ และในท่าฟรีสไตล์นั้น มีลักษณะการใช้แขนที่มีความต่อเนื่องกันมากที่สุด โดยการว่ายให้มีความเร็วและถูกต้องนั้น ทำได้ดังนี้1. เมื่อคุณยืดแขนไปด้านหน้าจนสุดแล้ว แขนของคุณต้องชิดกับหู
          2. ต่อจากนั้นให้คุณกดมือลง พร้อมกับโก่งแขนโดยการยกข้อศอกโดยแรงที่จะส่งตัวคุณนั้นจะออกมาจากไหล่
          3. ดันแขนท่อนล่างให้ผ่านไปใต้ลำตัว นิ้วทุกนิ้วเรียงชิดติดกัน
          4. ดันน้ำจนกระทั่งแขนของคุณตึงพอดี สามารถตรวจสอบได้ โดยมือของคุณจะผ่านไปถึงต้นขา
          5. ยกแขนขึ้น โดยงอข้อศอก แล้ววาดแขนมาด้านหน้า วางมือลงน้ำ กดศอกแล้วยืดแขนออกไป
          1. คุณต้องดันน้ำไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว
          2. เมื่อคุณจะวางแขนลงน้ำเพื่อว่ายต่อไป พยายามอย่าให้แขนฟาดน้ำ ให้ลากศอกและมือแทงลงน้ำไปด้านหน้าอย่างนิ่มนวล
          3. เมื่อมือคุณลงน้ำแล้ว อย่าให้มือชี้ลงไปที่พื้นสระ จงบังคับมือและแขนให้ชี้ไปยังเป้าหมาย คือ ด้านหน้าของคุณ โดยการยืดแขนออกไปขณะที่มือลงน้ำ ไม่ใช่จิ้มมือลงไปในน้ำ 
         หากคุณว่ายท่าฟรีสไตล์ได้ การว่ายท่ากรรเชียงก็ไม่ยากสำหรับคุณ เพราะท่ากรรเชียงก็เหมือนกับท่าฟรีสไตล์กลับด้านกันนั่นเอง
         ดังนั้นคุณสามารถว่ายกรรเชียงโดยดัดแปลงหลักการของฟรีสไตล์ได้ ถ้าคุณคิดจะว่ายเล่นคำพูดที่บอกว่าหน้าอยู่เหนือน้ำตลอดก็เป็นคำพูดที่ถูก แต่ในการแข่งขันแล้วคุณคิดเช่นนั้นหรือเปล่าเอ่ย? ไม่เลย..เพราะในการว่ายระดับสูงจะมีคลื่นที่เกิดจากการ
วางแขนของคุณไปด้านหลังอย่างเร็วและต้องวางให้ชิดกับหูของคุณด้วย ดังนั้นจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าน้ำจะเข้ามาที่หน้าของคุณ
การแก้ไขทำอย่างไร คุณสามารถหาดูได้จากหัวข้อด้านล่างนี้
         การใช้แขนท่ากรรเชียง (Backstroke Arm Action)

         การใช้แขนท่ากรรเชียง (Backstroke Arm Action)
         การว่ายท่ากรรเชียง คุณต้องนอนหงายแล้วว่ายในลักษณะเคลื่อนที่ไปด้านหลัง แต่การทำงานของแขน
และมือจะคล้ายกับท่าฟรีสไตล์มาก เรามาดูกันว่า เราต้องทำอย่างไรบ้าง
         1. เมื่อคุณยืดแขนออกไปแล้ว แขนคุณต้องชิดหู ไม่ใช่เอาหูไปชิดแขนนะครับ ให้พาแขนมาชิดหู
         2. ให้คุณกดแขนลงไปในน้ำ ที่สำคัญปล่อยไหล่ตามสบาย ถ้าคุณเกร็งไหล่ให้อยู่กับที่เอาไว้ คุณจะกดแขนลงน้ำไม่ได้
         3. งอข้อศอกและตั้งมือ พร้อมทั้งดันน้ำผ่านไปทางต้นขาของคุณอย่างรวดเร็ว
         4. จังหวะสุดท้ายของการดันน้ำ ให้คุณกดมือลงอย่างแรง จนแขนของคุณตึง
         5. เมื่อคุณยกแขนขึ้นมาจากน้ำ คุณต้องไม่งอข้อศอก และวางแขนไปด้านหลังโดยไม่ฟาดน้ำ โดยการวางแขนนั้นให้คุณหันฝ่ามือเอานิ้วก้อยลงก่อน
         6. เริ่มทำข้อ 1. กับแขนอีกข้าง
         1. ในการวางแขนลงน้ำเพื่อจะดึงน้ำต่อไป คุณต้องให้นิ้วก้อยลงน้ำก่อนเสมอ
         2. คุณไม่ต้องกังวลเรื่องที่น้ำจะเข้าหน้าคุณ เพราะว่าถ้าคุณว่ายถูกต้อง น้ำก็เข้าหน้าคุณอยู่แล้ว ให้คุณแก้ไขโดยกำหนดจังหวะหายใจ เช่น ยกแขนขวาขึ้นหายใจเข้า ยกแขนซ้ายหายใจออก เป็นต้น
         3. ให้คุณเก็บคางเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่ก้มจนหูพ้นน้ำ และไม่เงยจนกระทั่งหน้าจมลงไปในน้ำ
         4. ยืดตัวเอาไว้ อย่างอตัวเป็นกุ้งเด็ดขาด

          การใช้แขนท่าฟรีสไตล์ (Freestyle Arm Action)
        
          ข้อควรจำ
2. BACKSTROKE ท่ากรรเชียง

         ข้อควรจำ
3. BUTTERFLY ท่าผีเสื้อ
         ท่าผีเสื้อ เป็นท่าที่คุณต้องใช้แรงในการว่ายมากที่สุด และในการสอนว่ายน้ำก็จะสอนท่านี้เป็นท่าสุดท้าย ท่านี้มีความเร็วเป็นอันดับสองรองจากฟรีสไตล์ แต่ถ้าคุณว่ายเก่งคุณสามารถว่ายจี้ติดคนที่ว่ายท่าฟรีสไตล์ได้เลยทีเดียว ในการว่ายท่าผีเสื้อนี้คุณจะต้องฝึกฝนเป็นเวลานานกว่าท่าอื่น รวมทั้งคุณต้องมีร่างกายที่แข็งแรงด้วย บางคนคิดว่าการว่ายผีเสื้อต้องเป็นคนที่หัวไหล่แข็งแรงเท่านั้น แต่ความเป็นจริงแล้วแค่นั้นยังไม่พอ คุณต้องมีกล้ามเนื้อทั้งหัวไหล่ หน้าอก ลำตัว หลัง และขาที่แข็งแรงมาก ถ้าคุณว่ายที่นี้ได้ดี คุณจะว่ายได้อย่างสวยงามไม่น้อยเลย สำหรับผู้ชายที่ว่ายน้ำท่านี้ คุณจะมีรูปร่างที่สวยงามเป็นเหมือนสามเหลี่ยมหัวกลับเลยเชียว แต่ถ้าคุณเป็นผู้หญิง คุณก็อาจจะมีช่วงไหล่ที่กว้างและใหญ่ได้ ในการว่ายท่านี้มีลักษณะเป็นการถ่ายน้ำหนักของร่างกายไปมาจากหน้าไปหลังและหลังไปหน้าไปเรื่อย ๆ ดังนั้นท่านี้ต้องอาศัยเอวและสะโพกมาช่วย

         การใช้แขนท่าผีเสื้อ (ฺButterfly Arm Action)         การใช้แขนของท่าผีเสื้อนั้น เป็นดังรูป โดยมีขั้นตอนในการว่ายดังนี้
fly.gif

         1. เมื่อแขนคุณอยู่ข้างหน้า ให้กดมือลงพร้อมกับกวาดออกไปด้านข้างเล็กน้อย
         2. งอข้อศอกพร้อมทั้งดันมือผ่านใต้ลำตัว
         3. ดันน้ำจนแขนผ่านบริเวณต้นขา
         4. ยกแขนขึ้นให้ศอกและมือพ้นจากน้ำ
         5. วางแขนกลับไปด้านหน้าโดยให้แขนมีความกว้างเท่าช่วงไหล่
         ข้อควรจำ
         1. ในขณะที่คุณดันน้ำผ่านใต้ลำตัวนั้น คุณต้องพยายามรักษาระดับของข้อศอกให้สูงเสมอ ไม่ให้ข้อศอกตกลงไปต่ำมาก
         2. ในขณะยกแขนขึ้นจากน้ำต้องให้ศอกพ้นน้ำด้วย เพราะมันเป็นทั้งหลักการว่ายที่ถูกต้องและเป็นกติกาสากลในการว่ายท่าผีเสื้อ
         3. คุณควรพยายามดันน้ำให้มือทั้งสองข้างผ่านใต้ลำตัว เพื่อให้เกิดแรงส่ง ถึงแม้จะเหนื่อยหน่อยแต่คุณจะว่ายได้เร็วกว่าการที่คุณจะดันน้ำเพียงแค่ข้างลำตัวเท่านั้น
         4. ในการดันมือผ่านใต้ลำตัวคุณต้องดันน้ำไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว มิฉะนั้นไหล่และแขนของคุณจะยกขึ้นไม่พ้นน้ำ
4. BREASTSTROKE
         " คนส่วนใหญ่คิดว่าท่ากบจะสบายที่สุด แต่คุณรู้ไหมว่าท่ากบเป็นท่าที่ต้องใช้เทคนิคและพรสวรรค์สูงที่สุด "
         ข้อความด้านบนเป็นจริง เพราะท่ากบเป็นท่าธรรมชาติของมนุษย์คือใช้มือพุ้ยน้ำและใช้เท้าถีบไปเรื่อย ๆ แต่ในการแข่งขันแล้ว
ท่ากบใช้เทคนิคสูงเพราะการว่ายไม่เหมือนกับการว่ายเล่นธรรมดา และต้องใช้พรสวรรค์สูงเพราะเป็นท่าที่นักกีฬา ต้องมีกล้ามเนื้อ
ที่เรียวยาว ข้อหัวเข่ายืดหยุ่นได้สูง ดังนั้นจึงไม่ง่ายเลยที่จะหาคนที่เหมาะสมกับการว่ายแบบนี้จริง ๆ และที่บอกว่าใช้เทคนิคสูง
เนื่องจากอะไรนั้นสามารถดูได้จากเว็บไซต์นี้ แต่รูปที่นำมาแสดงเป็นการว่ายแบบปกติของท่ากบ ในช่วงท้ายจะมีส่วนที่จะบอกให้
คุณได้ทราบว่าเทคนิคดังกล่าวคืออะไร อ้อ! ถ้าคุณว่ายท่าผีเสื้อได้คุณก็คงทราบอยู่แล้วล่ะ
         การใช้แขนท่ากบ (ฺBreaststroke Arm Action)
breast.gif
         การใช้แขนในท่ากบ มีความสำคัญในการขับเคลื่อนร่างกายไปข้างหน้าน้อยกว่าการใช้ขา เพราะท่ากบใช้พลังขา 70 %เพื่อการขับเคลื่อนร่างกาย แต่การใช้แขนก็ไม่ใช่ว่าไม่สำคัญเพราะอีก 30 % ก็มีผลต่อการว่ายเช่นกัน เรามาดูกันว่าการใช้แขนของท่ากบนั้นทำอย่างไรบ้าง
         1. ให้คุณกดมือพร้อม ๆ กับการกวาดมือไปด้านข้าง โดยการกดมือและแขนลงนั้นให้กดลงประมาณ 45 องศา
         2. เมื่อกวาดมือออกมาเลยช่วงไหล่เล็กน้อยให้โก่งแขนโดยงอข้อศอกและยกข้อศอกให้ สูงเอาไว้พร้อมกับล็อคข้อศอกให้อยู่กับที่คือไม่ลากศอกออกไปด้านหลัง
         3. ตวัดมือทั้งสองข้างให้มาด้านหน้าในลักษณะกระพุ่มมือ (การตวัดให้มาทั้งแขนท่อนล่างไม่ใช่ตวัดแค่ข้อมือ) พร้อมทั้งให้หนีบศอกทั้งสองข้างมาชิดตัวอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งยืดแขนออกไปด้านหน้าอย่างเร็วด้วย
         4. ก้มหัว ส่งแรงจากไหล่ตามแขนไปด้วย
         ข้อควรจำ
         1. คุณต้องยกศอกให้สูงเสมอในขณะที่ดันน้ำ
         2. คุณต้องไม่ลากแขนออกไปด้านข้างมากนัก และไม่ลากแขนจนมือเลยไปด้านหลัง
         3. อย่าให้มือไปอยู่ใต้หน้าอกหรือใต้ลำตัว เมื่อศอกชิดตัวแล้วมือต้องอยู่ด้านหน้าของหน้าอก
         4. คุณต้องหนีบข้อศอกมาให้รวดเร็วที่สุด เพื่อเป็นการแหวกขึ้นมาหายใจอย่างรวดเร็ว มิใช่ค่อย ๆ เงยขึ้นมาแล้วลำตัวไปต้านน้ำ ทำให้เคลื่อนที่ได้ช้าลง